เนื้อเรื่องของหนังเป็นสภาพการณ์ข้างหลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่กระหน่ำโซลพังทลายยับ (ไม่กำหนดสาเหตที่มา) รวมทั้งอะพาร์ตเมนต์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย เป็นชีวิต ความมุ่งมาด ความสบาย เป็นศูนย์รวมจิตใจครอบครัวของคนเราล้วนสูญหายไปสิ้น เหลือแค่อาคารเดียวรอดสูงเด่นอยู่หมายถึง‘อะพาร์ตเมนต์ฮวังกุง’ ผู้คนที่รอดชีวิตจากพื้นที่ข้างๆก็พากันหนีความหนาวจัดจนตายได้ เข้ามากล่าวโทษอบอุ่นอาศัยตรงนี้ ถ่วงเวลารอคอยความปรารถนาจากหน่วยกู้ภัย (ซึ่งไม่มีมาด้วยเพราะเหตุใดไม่เคยรู้) แต่ อีกทั้งพื้นที่รวมทั้งของกินก็มีจำกัด ความนึกคิด ‘เอาชีวิตรอด’ ก็เลยเกิดขึ้นบนสิทธิ์การเป็นเจ้าของสังคมอันมีค่าที่นี้
คิมกึมแอ (สวมบทโดย คิมชอนยอง) ประธานชุมนุมสตรีที่ยืนขึ้นมาเป็นตัวตั้งตัวตีเรียกสัมมนาลูกบ้าน โหวตเลือกว่าจะขับไล่ไสส่งคนภายนอกไหม ผลเป็น ‘ไล่ออกให้หมด’ โหวตผู้แข็งแรงดวงใจสู้มาเป็นผู้แทนหัวหน้าการป้องกันฮวังกุง รวมทั้งก่อตั้งกลุ่มแบ่งภาระหน้าที่ ดังเช่นหน่วยล้มล้างด้วยกำลัง หน่วยรักษา หน่วยออกหาเสบียงอาหาร หน่วยคลังเก็บของแบ่งสรรแจกของกิน ก็อยู่บนฐานรากระบบประชาธิปไตยรวมทั้งวางระบบจัดแจงแบบมือโปรในเหตุการณ์รีบด่วนได้ดิบได้ดีนะ
รีวิว The Equalizer 3: ปิดบัญชีชั่วร้ายเฉือนเลือดสาด
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้ทราบจะกับชายเฒ่าหน้านิ่งที่มีชื่อว่า โรเบิร์ต แม็กคอล (Robert McCall) พนักงานที่ทำหน้าที่ในการขายร้ายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างที่อยู่ดีๆก็ปลดล็อกสมัยก่อน เปลี่ยนมาเป็นพญายมไม่มีเงา กำจัดคนไม่ดี บำรุงรักษาคนดี ใน ‘The Equalizer’ (2014) เปลี่ยนมามีชื่อเสียงในสมญานาม พญายมไม่มีเงา (ส่วนคนประเทศไทยเรียกว่า ‘มือสังหารโฮมโปร’ (555) อีก 4 ปีถัดมา แม็กคอลก็กลับมาสะสางเงื่อนสมัยก่อน เดินหน้าทวงแค้นคนทรยศหักหลังใน ‘The Equalizer 2’ (2018)
และก็ในปีนี้ การเดินทางของสมัยก่อนนย. และก็ข้าราชการ CIA ปลดเกษียณอายุ ศาลเตี้ยผู้ลึกลับก็มาถึงจุดจบ ใน ‘The Equalizer 3’ ที่ยังคงได้ผู้กำกับคู่บารมี อองตวน ฟูคัว (Antoine Fuqua) รวมทั้ง ริชาร์ด เวงค์ (Richard Wenk) นักเขียนบทจาก 2 ภาคแรก กลับมาสืบต่อความมันเป็นคราวสุดท้าย และก็ยังเป็นการบอกลาแฟรนไชส์แรกในชีวิตของ เดนเซล วอชิงตัน (Denzel Washington) ดาราผู้ครอบครอง 2 รางวัลออสการ์ ที่ควบตำแหน่งโปรดิวเซอร์ด้วย
ถึงแม้ว่าแพทย์คยองซูจะมิได้วัดชีพจร แต่ว่าก็กำหนดลักษณะการเจ็บป่วยไข้ได้ เนื่องจากว่าประสาทสัมผัสอื่นของเขาดียอด ทำให้มีวิธีการวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน ทั้งยังมีแนวทางและก็ถูกต้องแถมยังฝังเข็มรักษาอาการเห็นผลด้วย แพทย์คยองซูก็เลยสอบได้ได้เข้าไปฝึกหัดงานช่วงต้นในสำนักแพทย์หลวงหนึ่งเดือนเต็ม โดยมีคนดูแลเป็น แพทย์มันชิก (สวมบทบาทโดย พัคมยองฮุน) ซึ่งค่อนข้างจะทะเล่อทะล่าไม่ค่อยได้ความนักรวมทั้งแอบอู้บ้าง (ตัวฮายืนหนึ่งของเรื่อง) แต่ว่าเขาดีแล้วกับคยองซูมากกว่าใครๆในนั้น ซึ่งมักอคติในความพิกลพิการตาบอดและก็ความเป็นแพทย์ฝึกใหม่
ความลับสำคัญที่คยองยกไม่เคยเปิดเผยให้ใครๆล่วงรู้ก็คือ เขาสามารถเห็นได้ในที่มืด อันจะนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการรับทราบอะไรๆมากเกินความเป็นมนุษย์ตาบอด รวมทั้งคงจะมากเกินควรจะสำหรับคนตาดีด้วย อย่างเช่น ได้เข้าถึงตัว สนมโจ (สวมบทโดย อันอึนจิน) พระสนมคนโปรดของ พระผู้เป็นเจ้าอินโจ (สวมบทโดย ยูแฮจิน) เพื่อทำฝังเข็มรักษาลักษณะของการปวดท้องน้อยแทนแพทย์หญิง หรือได้มองเห็น องค์ชายอีซอกชอล (รับบทบาทโดย อีจูวอน) ลูกชายขององค์รัชทายาทโชชอน ซึ่งมีลักษณะอาการคุมการถ่ายค่อยมิได้แม้ว่าจะรุ่งเรืองสิบอายุแล้วหลังจากนั้นก็ตาม ด้วยเหตุว่ามีเงื่อนทางด้านจิตใจ
ดูหนัง The Murderer
ถึงแม้บางบุคคลจะมีความคิดว่าผู้กำกับสายรางวัลอย่าง วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยงตรง ได้ผ่านจุดสุดยอดของผลงานไปแล้ว ไม่ว่าจะคิดว่ายอดของแผนภูมิที่ว่านั้นอยู่ที่ ‘เปนชู้รักกับผี’ (2549) หรือ ‘อินทรีแดง’ (2553) ก็ตาม แต่ว่าก็จำเป็นต้องเห็นด้วยว่าข้างหลังโปรเจกต์หนังฮีโรไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น ผลงานของวิศิษฏ์ก็ดูเหมือนห่างหายจากโรงภาพยนต์ไปพอเหมาะพอควร กระทั่งเริ่มกลับมามองเห็นชื่อผ่านงานบนเน็ตฟลิกซ์แบบถี่ๆอีกทีตั้งแต่เขียนบทให้ ‘DEEP โปรเจกต์ลับ หลับ เป็น ตาย’ (2564) และก็ดูแล ‘ปัญหารูหลอน’ (2564) ก่อนจะส่งผลงานดูแลอีกรอบในปีนี้กับ ‘The Murderer เมอร์เด้อหรอ การฆ่าอิหยังวะ’ นี่เอง
ในภาคนี้ แม็กคอล (เดนเซล วอชิงตัน – Denzel Washington) ตกลงใจวางมือจากการเป็นพญายมไม่มีเงา แล้วหลังจากนั้นก็เดินทางออกไปดำเนินชีวิตในอัลโตมอนเต (Altomonte) เมืองเล็กๆทางตอนใต้ของอิตาลี แม้กระนั้นแทนที่จะได้พักจากการเป็นนักฆ่า แล้วก็เริ่มชีวิตใหม่ท่ามกลางเพื่อนบ้านเจ้าถิ่นผู้โอบอ้อมอารี แม้กระนั้นท้ายที่สุด แม็กคอลหรือคุณลุงโรกางร์โตในภาคนี้ เลือกที่จะสังหารเข้าไปพันพัวกับกลุ่มมาเฟียอิตาลีผู้กว้างขวาง ควบคุมโดยสองลูกพี่ลูกน้องควอรันตา
พวกเขาเจริญก้าวหน้าจากการค้าขายสิ่งเสพติดระหว่างประเทศ แล้วก็ขูดรีดค่าคุ้มครองจากประชาชนร้านค้าตลาด โดยมีโรงงานผลิตเหล้าองุ่นบังหน้า เพื่อรักษาความถูกต้องรวมทั้งสงบให้กับราษฎร แม็กคอลก็เลยตกลงใจหันกลับมากมายดปุ่มจับเวลาสะสางอิทธิพลเลวทรามให้หมดสิ้น โดยมี เอ็มมา คอลลินส์ (ดาโกตา แฟนนิง – Dakota Fanning) ข้าราชการสำนักข่าวกรองกึ่งกลางของสหรัฐอเมริกา รอสืบข้อมูลอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลัง
เวลานี้ที่ขบวนฑูยี่ห้อชตระกูลชิงได้นำ องค์รัชทายาทโซฮยอน (สวมบทโดย คิมซองชอล) รวมทั้ง พระมเหสีคังบิน (สวมบทบาทโดย โจยุยงนซอ) เดินทางกลับโชชอนภายหลังจากไปเป็นองค์รับรองอยู่ที่เสิ่นหยางนานถึง 8 ปี จากคราวที่โชชอนปราชัยศึกอดสูถึงขนาดบีบให้พระเจ้าอินโจจำเป็นต้องยอมศิโรราบ กระแทกพระเศียรเคารพจักรพรรดิ์หวงไท่จี๋
รีวิว The Strays ดราม่าตื่นเต้นชนชั้นคนผิวดำที่เล่าดีพอใช้ แต่ว่าดันพังทลายตอนสุดท้าย!
นับว่าเป็นหนังที่หลายแบบทำเป็นออกจะก็ดีแล้วแท้ๆทั้งยังพล็อต บทขั้นตอนการเล่า ปัญหาคนดำผิวขาวกับศิลปินดาราที่เล่นก้าวหน้า ฉากตื่นเต้นแบบเบาๆไล่ระดับไปจนกระทั่งหนักๆแบบบีบคั้นมากยิ่งกว่าจะเป็นฉากสยดสยองตรงๆแต่มาตกม้าตายเอาตอนสุดท้ายแบบพังทลายทั้งยังเรื่อง กระทั่งน่าผิดหวังมากพอควร แต่ว่าก็ยังถือว่ามีความน่าดึงดูดใจในหนทางของงานผู้กำกับผิวดำคนใหม่ที่ดูเหมือนเพียรพยายามสะกดรอยจอร์แดนพีลให้ได้ครับผม
ตัวบทหนังออกจะแจ่มกระจ่างสำหรับเพื่อการมานะจะมีผลให้ตัวหนังมีหัวจิตหัวใจ มีอารมณ์ร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการทุ่มเวลาในองก์แรกไปกับการบอกกล่าวชีวิตในตอนนี้ของแม็กคอล ที่จำต้องเผชิญกับอีกทั้งเหตุการณ์เปลี่ยนในองก์แรก ที่เป็นตัวบอกแบบเปลี่ยนๆว่าเขาเองแก่เกินความจำเป็นในการเป็นพญายมไม่มีเงา ถืงในเวลาที่จำเป็นที่จะต้องรีบๆวางมือ มูฟออนจากอดีตกาลอันไร้มนุษยธรรมเสียรู้ แต่ว่าโน่นก็ทำให้เขากำเนิดความสับสนในจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของความดีงามรวมทั้งความชั่วที่เขาได้ปฏิบัติลงไป ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกเราจะได้มองเห็น (และก็รู้สึกสาแก่ใจ) ไปกับการออกกำจัดคนอัลธพาลจนตายอย่างทรมานของแม็กคอล
แต่ทว่า อาจมีเพียงแต่ องค์ชายซอกชอล คนเดียวที่ตื่นเต้นยินดีกับการได้เจอบิดามารดาที่คร่ำครวญหามานาน ส่วน สนมโจ นั้นขุ่นเคืองแน่ๆเนื่องจากพระนางหวังให้ลูกชายของตัวเองได้ขึ้นเป็นรัชทายาท ด้าน พระผู้เป็นเจ้าอินโจ ซึ่งมีความคับอกคับใจเป็นทุน เกลียดดูถูกชิงเป็นคนป่าเถื่อนคนอำมหิต แต่ว่าก็ไม่อาจจะตอบโต้ใดได้ การกลับมาขององค์โซฮยอนกับฑูตก็เลยกระตุกเงื่อนเจ็บเจ็บป่วยกายเจ็บไข้จิตขึ้นมาอีกที ยินดีไม่ออก ยิ่งมองเห็นองค์โซฮยอนแปรไปแล้วด้วยยิ่งแล้วใหญ่
รีวิว Class Act Netflix จากโครงเรื่องจริงที่เล่าได้สนุกสนาน แม้กระนั้นตกแต่งมากมายจนกระทั่งเกินจริง
โดยรวมเป็นซีรีส์จากโครงเรื่องจริงที่มองบันเทิงใจเพลิดเพลินไปกับชีวิตผาดโผนของ กางร์ท้องนาร์ ตาปี ได้ออกจะดี ถึงแม้ไม่ใช่คนประเทศฝรั่งเศสมองก็รู้เรื่องได้ เพราะว่าเอามาเพียงแค่พล็อตเรื่องแค่นั้น ดาราก็มีเสน่ห์ แม้กระนั้นการตกแต่งเรื่องราวเกินจริงจำนวนไม่น้อยแล้วก็ยังผ่านการจัดการด้านธุรกิจไปดูเหมือนจะทั้งหมด ก็ทำให้แปลงเป็นเรื่องแต่งมากจนเกินความจำเป็น จนถึงแอบโชคร้ายครับผม
ภาคนี้ก็ยังแอบหยอดปัญหาให้คิดต่ออีกมุมว่า กรรมวิธีศาลเตี้ยแล้วก็ออกกำจัดคนพาลแบบอำมหิต (ไม่ขอคืนดีกฏหมาย) ก็บางครั้งอาจจะเป็นเพียงแต่การฆาตกรรมในนามของความดีงามหรือเปล่า แม้กระนั้นถึงหัวข้อที่ตัวหนังทิ้งเอาไว้จะน่าดึงดูดแล้วก็ซาบซึ้งใจแล้วก็แค่ไหน แม้กระนั้นในที่สุดตัวบทก็ทำให้เส้นเรื่องรองทั้งผองที่ว่ามานี้ถูกเล่าผ่านพล็อตที่ถูกใส่เอาไว้เพียงแต่บางๆก่อนที่จะถูกเขี่ยทิ้งไป เนื่องจากว่ามันค่อยเกินกว่าจะถูกจับเอามาเล่าต่อได้เป็นชิ้นเป็นอัน และไม่ได้ส่งผลต่อข้อสรุปไปๆมาๆกกว่าความปรารถนาต้องการปลดเกษียณ เนื่องจากต้องการปลดความรู้สึกงวยงงในใจ เปลี่ยนเป็นเพียงแต่หลักสำคัญคมๆที่ใส่เพื่อเติมแต่งพล็อตที่ทายใจง่าย มิได้มีอะไรใหม่สลับซับซ้อน ให้มองมีอะไรขึ้นมาบ้างก็เพียงแค่นั้น
โดยตัวหนังนั้นสำเร็จงานนิพนธ์บทของ อภิเษก จิรธเนศสกุล มือเขียนบทหน้าฝรั่งที่ร่วมงานกับวิศิษฏ์มาตั้งแต่ ‘ปัญหารูหนอน’ แต่ว่าแปลงแนวจากเขย่าขวัญมากมายปัญหา มาสู่แนวสอบสวนสืบสวนสุดสลับซับซ้อนกลับไปๆมาๆที่มีกลิ่นขบขันร้ายแล้วก็ย้ำใช้สำเนียงอีสานเล่าผสมภาษาอังกฤษอีกทั้งเรื่อง
ตัวหนังเล่าผ่านสายตาของสารวัตรณวัฒน์ที่โรงพักภูธรดอนกระโทก ที่จำเป็นต้องลงมาสอบพยานเพื่อกล่าวโทษจริงของคดีการฆ่าดังในพื้นที่ ซึ่งที่มาของเรื่องบ่งบอกถึงถึงภาพการถึงแก่กรรมที่มองร้ายแรงสูงถึง 7 ศพ มันมองเป็นจริงเป็นจังมากมายขัดกับโทนเรื่องที่แย้มว่าน่าจะมีความเฮฮา จนกระทั่งกำเนิดเงื่อนสงสัยในใจผู้ชมว่าหนังจะจบลงยังไง เป็นวิธีการที่ดึงความพึงพอใจผู้ชมได้ตั้งแต่ต้นจนถึงจบ รวมทั้งรอกระตุ้นความข้องใจพวกเราผ่านความผลิกผันไปตามปากคำของผู้เห็นเหตุการณ์ 3 ผู้ที่ต่างมุมมองกันมากมายจวนเจียนจะเป็นหนัง ‘ราโชมอน’ อยู่เปลี่ยนๆ
รีวิว The Gray Man: ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรค้างจำ
เลข 6 เป็นมือสังหารลับในแผนการเซียร์ร่าของรัฐบาล กระทั่งวันหนึ่งเขาพบว่าผู้ที่เขาฆ่าเป็นมือสังหารในโครงงานเดียวกัน รวมทั้งผู้ควบคุมโครงงานในตอนนี้มีความลับแอบซ่อนอยู่ เพื่อใส่ความจริงเขาก็เลยถูกกลุ่มมือสังหารตามล่าโดยต้องหาแนวทางช่วยเหลือของตัวประกันที่เคยมีพระคุณต่อเขาไปพร้อม
หนังดราม่าทริลเลอร์ Netflix จากอังกฤษ ที่สร้างโดยดาราผิวดำ Nathaniel Martello-White ที่ผันตัวมากำกับและก็เขียนบทประเด็นนี้เรื่องแรก รวมทั้งด้วยมู๊ดโทนเรื่องแนวคนดำลึกลับตื่นเต้น ก็ทำให้มีความรู้สึกว่าดาราท่านนี้คงจะได้แรงผลักดันมาจากจอร์แดนพีล ผู้กำกับดังจาก Get Out ที่มาจากดาราเช่นกัน และมาเอาดีทางการควบคุมเขียนบทเล่าหนังของตนเอง ในพื้นที่ของหนังตื่นเต้นที่ยังมีอะไรให้เล่าได้อีกเยอะแยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุมมองเรื่องราวของคนดำกับคนขาว ที่ถึงแม้โลกจะหมุนแปรไปขนาดไหน แม้กระนั้นลึกๆแล้วสังคมในขณะนี้ก็ยังมีเงื่อนเหยียดหลบซ่อนไว้ภายในหัวใจอยู่ เพียงแค่เปลี่ยนไปตรงที่มันถูกกดทับไว้รอคอยวันระเบิดเพียงแค่นั้น ซึ่งประเด็นนี้เองก็จับเอาปัญหาที่ตรงนี้ขึ้นมาเล่า ในต้นแบบที่แม้ว่าจะเกิดเรื่องแต่ง แม้กระนั้นความเป็นจริงก็เคยมีเหตุทำนองนี้เกิดมาจริงๆ